งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้ถือหุ้น
ก่อนอื่น นักศึกษาต้องสามารถแยกรายการให้ได้ก่อนนะคะว่า รายการไหนอยู่หมวดบัญชีไหน ตามที่ครูสอน เลข 1 -5 แทนสินทรัพย์ หนี้สิน ทุน รายได้ ค่าใช้จ่ายยังไงค่ะ จากนั้นค่อยแยกออกมา เป็น
งบกำไรขาดทุน เป็นงบที่แสดงถึงผลการดำเนินงานว่ามีกำไรขาดทุนค่ะ แปลว่า ต้องมีหมวดบัญชีมาแสดงในงบนี้ เพียง 2 หมวดเท่านั้น คือ รายได้ และ ค่าใช้จ่าย ก็เอาหมวดเลข (4) ลบกับ หมวดเลข (5) ค่ะ ถ้า 4>5 แปลว่า มีกำไร แต่…… ถ้า 4<5 ก็แปลว่าขาดทุนไงจ๊ะ ทีนี้มาต่อกันอีก
งบดุล เป็นงบที่แสดงฐานะทางการเงินบอกว่าเราร่ำรวย มีเงินมีทอง หรือเป็นหนี้สินคนอื่น หรือมีเงินลงทุนมาก นั่นก็แปลว่า ต้องเอาหมวดบัญชีที่เหลืออีก 3 หมวด คือสินทรัพย์ หนี้สิน และทุน มาแล้วจัดการจัดกลุ่มให้ถูกต้อง อะไรเป็นสินทรัพย์ (1)ก็อยู่ด้วยกัน อะไรเป็นหนี้สิน (2) ก็อยู่ด้วยกัน อะไรเป็นทุน (3) ก็อยู่ด้วยกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อรวมสินทรัพย์แล้ว จะต้องมีตัวเลขที่เท่ากับ หนี้สินและทุนรวมกันนะคะ แปลว่า 1 = 2+3 นั่นเองค่ะ ยังไม่หมดใช่ไหม ยังมีอีกหนึ่งงบที่ต้องทำนี่นา
งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นเพียงการแสดงในหมวดที่ 3 เท่านั้นค่ะ คือเริ่มต้นจากเงินลงทุนก่อน จากนั้นก็คิดต่อว่า อะไรจะทำให้เงินลงทุนเราเพิ่มได้บ้าง แล้วอะไรจะทำให้เงินลงทุนลดลงได้บ้าง ง่าย ๆ ค่ะ ถ้าคุณเงินตัวเองไปลงทุนทำธุรกิจ แล้วเกิดกำไร ก็แปลว่าเงินลงทุนคุณจะมีมากขึ้น (เอากำไรไปบวกเงินลงทุนนั่นแหละ) แต่ถ้าขาดทุน เงินลงทุนจะลดหรือหายไปหรือเปล่าค่ะ แน่นอนว่า ต้องหายไป (เอาขาดทุนไปลบ) อย่างไรก็ตาม เวลาที่เราจะไปลงทุนทำอะไรเราคงคาดหวังว่าจะต้องได้อะไรที่มากกว่ากำไรอยู่แล้วค่ะ ซึ่งครูก็เรียกว่า “เงินปันผล” ที่จะได้รับจากธุรกิจ หรือธุรกิจจ่ายให้เราในฐานะผู้ลงทุน เมื่อธุรกิจจ่ายเงินปันผล ก็จะทำให้เงินลงทุนของธุรกิจลดลงค่ะ แปลว่า เงินปันผลต้องเอาไปลบนั่นเอง จึงจะทำให้เราว่า ณ ปัจจุบันนี้ สถานะของเงินลงทุนในธุรกิจเหลือเท่าไหร่นั่นเองค่ะ